๒๕๕๑-๐๑-๑๙

Witthaya Gossip II

เฉาะดารา
วันที่ 26 พฤศจิกายน 2550
http://www.dailynews.co.th/web/html/popup_news/Default.aspx?ColumnId=49268&NewsType=2&Template=1



ส่วนข่าวนี้มาจาก “กองถ่ายละคร” เรื่อง “เจ้าพ่อจำเป็น” ว่าพระเอก “อั๋น วิทยา” เข้าฉากบู๊ทีไรเป็นต้องได้ “แผลฟกช้ำดำเขียว” ทุกทีไป งั้น...ก็รีบหาสาวมาทายาให้ซิจ๊ะ
---------------
อั๋นกังวลเจ้าพ่อฯ-ซิ่งไม่เก่ง
http://news.thaieasyjob.com/entertain/show_news-7149-1.html

พระเอกหนุ่มมาดเข้ม อั๋น วิทยา วสุไกรไพศาล เป็นกังวลกับบทที่ได้รับในละคร เจ้าพ่อจำเป็น ของค่ายสายฟ้า ทีวีธันเดอร์ ที่มีคิวออกอากาศเป็นละครก่อนข่าวภาคค่ำทางช่อง 3 โดยเผยว่า
รับบทเป็น เผด็จ จะมีชีวิตวัยรุ่นลุยๆ แต่พอถึงจุดนึงในชีวิตก็เปลี่ยนมาเป็นคนดีเพราะพ่อขอร้องไว้ก่อนตาย ครั้งนี้คงต้องทำการบ้านเยอะเพราะคนจะติดภาพผมที่ออกแนวนิ่งๆ เบาๆ สิ่งที่กังวลคงเป็นเรื่องมอเตอร์ไซค์เพราะในเรื่องเราต้องขี่มอเตอร์ไซค์เก่ง ถ้าให้ขี่ปกติผมก็พอได้แต่ในเรื่องต้องซิ่งเลยซึ่งผมไม่เก่งขนาดนั้น
---------------

๒๕๕๐-๑๒-๑๑

เจ้าพ่อจำเป็น

ช่วงหลังมานี้ ละครตอนเย็นก่อนข่าวภาคค่ำบางเรื่องได้รับความนิยมจากคนดูมากกว่าละครหลังข่าวเสียอีก ดังนั้นเราจึงได้เห็นละครคุณภาพดีที่รวมดาราเด่นในละครช่วงนี้กันมากขึ้น และ “เจ้าพ่อจำเป็น” ของค่ายทีวีธันเดอร์ก็เป็นละครตอนเย็นเรื่องใหม่ที่น่าจับตามองไม่น้อย เพราะมี “แพท” ณปภา ตันตระกูล และ “อั๋น” วิทยา วสุไกรไพศาล นำแสดง อีกทั้งยังมีดาราเจ้าบทบาทมาช่วยชูรสอีกมากมาย อาทิ โอ๋ เพชรลดา เทียมเพ็ชร, โชกุน สันธนะพานิช, เอ็กซ์ ธิตินันท์ สุวรรณศักดิ์, หนิง ภารดา พัฒนาหิรัญ และ เวฟ สาริน บางยี่ขัน



อั๋น วิทยา หนุ่มคลีโอปี 2005 นั้นถึงแม้ว่าจะไม่โด่งดังเปรี้ยงปร้าง แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าเขาเองก็มีชื่อเสียงพอตัว เนื่องจากผลงานที่ผ่านมาแต่ละเรื่องล้วนแต่เล่นประกบกับดาราหญิงชั้นนำทั้งนั้น

ที่ผ่านมา ผมได้เล่นคู่กับคนเก่งๆมาตลอด ทั้งพี่มาช่า จากภาพยนตร์เรื่อง “แฝด” นุ้ย สุจิรา จากละครเรื่อง “สะใภ้สุดขั้ว แม่ผัวสุดซ่า” พอลล่าจากละครแนวเกาหลี เรื่อง “ฟ้ากับตะวัน” รวมทั้ง ละครเรื่องแรก เรื่อง “หนุ่มห้าว สาวใสหัวใจปิ๊ง” ที่ผมเล่นคู่กับหมิง ชาลิสา
จึงทำให้หลายคนมองว่าผมเกาะดาราผู้หญิงดัง แต่ว่าก็ไม่ดังสักที ประเด็นนี้ผมไม่อยากให้มองแบบนั้นเลย อยากให้คนดูที่ผลงานมากกว่า ไม่อยากให้คนมองว่าผมใช้ชื่อเสียงของใครมาปูทางให้ ผมว่าถึงแม้ผมจะไม่โด่งดังชั่วข้ามคืน แต่การที่เราก้าวไปเรื่อยๆ สักวันก็คงมีคนรู้จักเรามากขึ้น ผมเองก็ไม่ได้อยู่นิ่งเฉย พยายามแก้ไขข้อบกพร่องของตัวเองไปเรื่อยๆ เพื่อที่ตัวเองจะได้มีการพัฒนาครับ

สำหรับละครเรื่องเจ้าพ่อจำเป็นนี้ เป็นละครตอนเย็น เรื่องแรกที่ผมได้เล่น ปกติผมจะได้เล่นแต่ละครภาคเที่ยง มาตลอดและเรื่องนี้ก็เป็นเรื่องแรกที่ผมได้มาเล่นให้ช่องอื่น คือ ช่อง 3 นอกจากช่องทีไอทีวี ด้วย เล่นเรื่องนี้ผมมีโอกาสได้ร่วมงานกับน้องแพทเป็นครั้งแรกทั้งๆที่ผมเป็นแฟนละครของน้องเขา ผมตามดูเรื่อง “แม่ครัวคนใหม่”น้องเขาเล่นเก่งมากๆตอนแรกผมกลัวน้องเขา เพราะดูท่าจะต่อปากต่อคำไม่ทัน แต่พอได้มาร่วมงานกันจริงๆ น้องเขาน่ารักและนิสัยดีมากๆเลยครับ และที่สำคัญหน้าตาก็น่ารักมากๆด้วย ( หัวเราะ).
-----------------------------------
ข้อมูลจาก
คู่สร้างคู่สม ฉบับที่ 587

-----------------------------------

๒๕๕๐-๑๑-๐๙

Witthaya Interview 15

บทสัมภาษณ์ โดยโคลิคทีม http://www.deknang.com/index.php?option=content&task=view&id=398
21 มิถุนายน 2006

“วิทยา วสุไกรไพศาล” (อั๋น) พระเอกหน้าตาเข้ม มาดเซอร์ หนุ่มนักเรียนนอกจากอเมริกาเจ้าของรางวัลหนุ่มคลีโอประจำปี 2005 ก้าวสู่วงการบันเทิงด้วยการเป็นพระเอกโฆษณามากมายหลายยี่ห้อ เช่น เชฟโรเลต ซาฟิร่า รถครอบครัว บัตรเครดิตกรุงศรีจีอี ชาขาวเพียวริคุ กระดาษดับเบิลเอ และพระเอกมิวสิควีดีโอของศิลปินชั้นนำเช่น เกิดมาเพื่อช้ำ ของดัง-พันกร ผู้ชายเฮงซวย ของอ่ำ-อัมรินทร์

นอกจากอั๋นจะมีผลงานทีวีด้านโฆษณาแล้ว ก็ยังมีละครทีวีเรื่อง หนุ่มห้าวสาวใสหัวใจปิ๊ง ทางไอทีวี และผลงานด้านละครเวทีเรื่อง อลหม่านบ้านทรายทอง ที่เพิ่งจบไป และเรื่องใหม่คือ สามคู่ชู้ทั้งน้าน...น ถึงแม้อั๋นจะดูเป็นหนุ่มซ่าขนาดไหน แต่สาวๆในกองถ่ายและทีมงานต่างยกนิ้วให้อั๋นเป็นสุภาพบุรุษประจำกองถ่าย เพราะด้วยความที่เป็นคนรักสงบ เงียบ ขรึม ขี้เกรงใจ ทำให้อั๋นเป็นขวัญใจสาวๆได้ชั่วพริบตาเดียว



คาแรคเตอร์
ในเรื่องโคลิค ผมรับบทเป็นป้องภพ ป้องภพเป็นผู้กำกับโฆษณาที่มุ่งมั่นกับการทำงาน รักครอบครัว ไม่เชื่อเรื่องผีสางนางไม้ และออกจะใจร้อนบ้าง ป้องคบหาอยู่กับแพร ( พิมพ์พรรณ ชลายนคุปต์) ซึ่งทำงานอยู่ด้วยกัน จนวันหนึ่งแพรท้องขึ้นมาก็แต่งงานกับแพร แล้วพาแพรไปอยู่บ้านแถบชานเมืองกับแม่และน้าสาวของป้อง ป้องมักจะเป็นคนที่มีความคิดเห็นไม่ค่อยตรงกับคนในครอบครัวกับแม่กับแพร จนบางครั้งทำให้เกิดปัญหาขึ้นบ้างครับ

ทำไมถึงตัดสินใจรับเล่นเรื่องนี้
ผมเคยได้เข้าไปที่บาแรมยูหลายครั้ง เข้าไปแคสต์งาน มีการถ่ายภาพนิ่ง แล้วก็อาจเผอิญว่าผมคงไปแตะตากับพี่ทีมงานเค้า (หัวเราะ) พี่เค้าก็ถามว่าบทเป็นอย่างงี้ เสื้อผ้าอย่างงี้โอเคไหม

ส่วนเรื่องการเตรียมตัวกับงานก็ไม่ค่อยมีอะไรมาก ก็อ่านบท พอได้อ่านบทครั้งแรกก็ชอบเลยครับ จริงๆบทของป้องภพก็เหมือนเป็นชีวิตจริงของคนๆหนึ่ง เป็นผู้กำกับ แต่อาจจะมีนิสัยที่แตกต่างจากตัวเราอยู่บ้าง แล้วนี่ก็เป็นการเริ่มต้นกับการแสดงภาพยนตร์เรื่องแรกของผมด้วย ก็เลยอยากลองดู อยากจะแสดงให้เต็มที่และอยากดูด้วยว่าเราแสดงได้ดีขนาดไหน ตรงไหนบ้างที่ดี ไม่ดีครับ กับเรื่องนี้ผมก็พยายามสังเกตคนรอบตัว อย่างผู้กำกับผมก็สังเกตดูว่าเป็นผู้กำกับเขาต้องเป็นยังไงกันบ้าง บางทีผมก็หาหนังที่มีความใกล้เคียงกับตัวผมมาดู ว่าเค้าเล่นเป็นยังไงบ้าง

ในตอนแรกที่ผมมารับเล่นภาพยนตร์เรื่องนี้ ผมก็เกร็งๆอยู่เหมือนกันเพราะหนึ่ง ผมไม่เคยเล่นหนังมาก่อน และสองผมไม่รู้จักใครเลย ไม่เคยร่วมงานกับใครในกองถ่ายนี้เลย แต่ก่อนการถ่ายทำเรื่องนี้ผู้กำกับให้เราไปเรียนการแสดงร่วมกับนักแสดงคนอื่นพร้อมๆกัน ตอนแรกก็เกร็งแต่พอได้มา workshop ร่วมกัน ก็ทำให้ผมรู้จักพี่ๆเขาเยอะขึ้น เราได้ workshopเจาะเฉพาะซีนด้วย พอได้มาถ่ายจริงเล่นจริงๆ ความเกร็งก็เริ่มหายไปครับ

เป็นยังไงบ้างกับการเล่นหนังเรื่องแรก
ไม่ค่อยมีปัญหาอะไรครับ การถ่ายทำหนังกับงานโฆษณามีความแตกต่างกันบ้างในบางอย่าง แต่การถ่ายหนังกับถ่ายโฆษณาเหมือนกันตรงที่เค้าใช้กล้องตัวเดียว ถ่ายมีมาสเตอร์ตัวเดียวกัน แต่โฆษณาจะใช้ภาพหรือ shot น้อยกว่าหนัง เพราะหนังต้องการรายละเอียดและมุมกล้องเยอะมาก การถ่ายหนังก็เลยต้องมีการเปลี่ยนมุมและขนาดภาพกันค่อนข้างบ่อย ฉะนั้นการถ่ายหนังมันเลยต้องเหนื่อยกว่า ในความรู้สึกของผมนะครับ

ยกตัวอย่างเช่น ฉากนี้เราต้องโมโหอยู่ พอคัตเราก็ต้องจำอารมณ์นั้นเอาไว้ พอถ่ายใหม่อีกทีเราก็ต้องเล่นให้เหมือนเดิมทุกอย่าง หลายๆรอบซึ่งเป็นหน้าที่ของเราด้วยที่ต้องจำให้ได้ว่าเราเล่นเอาไว้เมื่อกี้นี้แค่ไหนเพื่อคงอารมณ์ให้ต่อเนื่อง การเล่นหนังจึงช่วยเพิ่มพัฒนาการในการแสดงให้กับผมได้มากครับ และการถ่ายทำหนังมันทำให้เรามี มุมมองใหม่ๆเพิ่มขึ้น ไม่ว่าจะเป็น เรื่องของโปรดักชั่น โลเคชั่น หรือว่าการแสดง มันทำให้ผมเข้าใจเหตุผลที่มาที่ไปกับสิ่งต่างๆได้เยอะขึ้นด้วยครับ

เรื่องแรกก็รับบทเป็นพ่อเลยเป็นยังไงบ้าง
ก็ไม่หนักใจมากนะครับ เพราะผมมารับบทเป็นพ่อที่อายุก็น่าจะเป็นพ่อคนได้แล้ว(หัวเราะ) ผมเข้าฉากกับน้องๆหลายวัยมาก ตั้งแต่น้องคนที่เล็กที่สุดวัยแรกเกิดเลย ไล่มาเรื่อยจนกระทั่งน้องคนที่โตประมาณ 8-9 ขวบได้ก็ไม่มีปัญหาอะไร น้องๆแต่ละคนก็น่ารักดีครับ เห็นใจน้องเค้านะครับ เพราะมาเล่นเรื่องนี้ต้องร้องไห้กันเยอะมากแต่ละคนก็ไม่เหมือนกัน บางคนหงุดหงิดหน่อยนึงก็จะร้องไห้แล้ว บางคนก็ร้องไม่ออก แต่ผู้กำกับเค้าก็มีวิธีของเค้า ซึ่งไม่ได้เป็นการทารุณเด็กนะครับ คือผู้กำกับเค้าก็ปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติของเด็กๆ ไม่มีการรังแกหรือหยิกเพื่อจะได้ร้องไห้เลย มีแต่รออย่างเดียว น้องเค้าหลับก็รอให้น้องเค้าตื่นก่อนอะไรอย่างนี้ครับ ซึ่งผมก็ชอบวิธีการแบบนี้ครับ ทำงานกับเด็กๆต้องใจเย็นครับ

ร่วมงานกับ พิม พิมพ์พรรณ ชลายนคุปต์
น้องพิมเหรอครับ ก็รู้สึกดีนะครับ ตอนแรกก่อนที่จะรับเล่นเรื่องนี้พอได้ทราบมาก่อนว่าน้องเค้าก็เคยได้รางวัลตุ๊กตาทองมาก่อน ก็เลยกลัวๆน่ะครับเพราะว่าเราก็ไม่เคย ผ่านภาพยนตร์มาเลย แต่พอได้ร่วม workshopกันก็เริ่มรู้สึกคุ้นเคยกันมากขึ้น ก็ทำให้อาการเกร็งต่างๆก็เริ่มลดน้อยลง

พิมเป็นคนตั้งใจทำงานและมีความอดทนสูง ตอนแรกที่เข้าฉากด้วยกันผมก็ยังเกรงใจเค้า ยังทำตัวไม่ถูกแต่น้องเค้าเป็นกันเองคุยเล่นได้ตลอดเวลา มันเลยทำให้เราสนิทกันไวขึ้น หลังๆการทำงานเลยง่ายกว่าที่คิด พิมเค้าเป็นคนอารมณ์ดีตลอดเวลา บางทีดูแค่หน้าเค้าเหมือนจะดุๆ แต่พิมเป็นคนที่ครื้นเครงนะ เดี๋ยวก็ร้องเพลงเล่น เดี๋ยวก็หยอกล้อเล่นกับคนอื่นตลอด แล้วก็กินเก่งมาก ตอนแรกๆผมเห็นคนในกองเค้าแซวๆพิมพ์กันเรื่องกินประมาณว่า ถึงแม้ว่าพิมจะนอนหลับอยู่แต่พออาหารเสร็จนะพิมจะรู้ได้ทันทีแล้วก็ลุกมากินได้สบายๆ ทุกเวลาเลย ( หัวเราะ) คือรวมแล้วน้องเค้าเก่งครับ สนุกสนาน ทำงานด้วยแล้วไม่เครียดไม่กดดันเลยครับ

กับ เมย์ กุณฑีรา สัตตบงกช
น้องเมย์ก็เหมือนกันผมไม่เคยเจอมาก่อน แต่เคยเห็นเค้าตามโทรทัศน์ตามสื่ออื่น เห็นเค้าเป็นพิธีกรรายการอยู่หลายรายการ แต่ไม่รู้หรอกว่าเค้าเคยเล่นหนังมาก่อนหน้านี้ แล้ว เรื่อง เจ็ดประจัญบาน แล้วก็พอ workshop แล้ว ก็ได้รู้ว่าน้องเค้าเป็นคนคุยเก่ง อัธยาศัยดีครับ เมย์เค้าเป็นคนคล่องแคล่วเหมือนอย่างในบทเลยครับ เค้าจะเป็นคนทันสมัย ฉลาด พูดจาฉะฉาน ใครมีมุขอะไรมาเล่นในกองเมย์ก็จะทันหมด จนบางทีผมยังแอบคิดเลยว่าเมย์เคยเป็นรองนางสาวไทยมาจริงๆเหรอ (หัวเราะ)

น้องเค้าช่างพูดช่างคุยช่างถามด้วย อดทนและรับผิดชอบงานดี งานนี้เจอแต่คนเก่งๆทั้งนั้นเลยครับ และนักแสดงในกองนี้แต่ละคนอดทนเก่งทั้งนั้น เรื่องนี้ถ่ายทำกันแต่กลางคืนเป็นส่วนใหญ่ ถ่ายกันทั้งวันทั้งคืนก็มี อยู่ในบ้านร้าง ยุงเยอะแต่พิมกับเมย์ก็อึดมาก สปิริตสูงจริงๆครับ

กับผู้กำกับ เหลิม พัชนนท์ ธรรมจิรา
ผู้กำกับก็ใจดีครับ เห็นเส้นลายมือขาดสองมือแบบนั้น ก็ไม่คิดว่าจะใจดีขนาดนี้ พอเราอ่านบทผิดผู้กำกับก็คอยมาบอกเราสอนเรา ถ้าเราไม่เข้าใจตรงไหน ก็พูดให้เราฟัง อธิบายให้เราฟังตลอด ผู้กำกับอัธยาศัยดี งานเป็นงานเล่นเป็นเล่นบางทีเห็น ผู้กำกับแอบไปถ่ายภาพนิ่งเบื้องหลังด้วย แล้วพอหน้าเซ็ทถ่ายเสร็จพี่เหลิมก็มาเช็คดูที่จอมอนิเตอร์ว่าใช้ได้หรือไม่ อย่างวันนี้ก็มาถ่ายเบื้องหลังด้วย(หัวเราะ) สุดยอด

พี่เหลิมเป็นคนที่ออกจะวัยรุ่นนะ เห็นเมย์บอกว่าเป็นเด็กแนว จะดูอาร์ทๆ หน่อย จะสนุกตลกอยู่ตลอด แซวเล่นกันตลอดเพื่อไม่ให้คนอื่นเครียด ใจดีมากด้วยอย่างเรื่องนี้ เราต้องทำงานกับเด็กหลายวัยมาก แล้วเด็กต้องร้องไห้ พี่เหลิมเค้าก็จะมีวิธีการ ทำให้เด็กร้องเองโดยที่ไม่แกล้งให้ร้อง น้องนอนหลับพี่เหลิมก็จะให้หลับไปอย่างงั้น ไม่ปลุกมาถ่าย แล้วเค้าก็ค่อนข้างละเอียด อันนี้ไม่ได้ก็แก้ใหม่แบบใจเย็น ไม่เคยเห็นเค้าหงุดหงิดเลย เขาจะสบายๆ ขำๆ

ก่อนหน้านี้ผมก็ไม่เคยรู้จักพี่เหลิมมาก่อนนะครับ ว่าเค้าทำอะไรมาก่อน รู้แต่มีคนเคยบอกว่าพี่เหลิมเป็นคนทำงานเบื้องหลัง ทำอย่างงั้นอย่างงี้มาก่อนแค่นั้น แล้วผมก็ได้มาเห็นการทำงานของเค้าในกองถ่ายจริงๆ แล้วพี่เหลิมก็ทำได้ดีมาก เป็นผู้กำกับที่อยากร่วมงานด้วยอีกหลายๆครั้งเลยครับ

มาเล่นหนังแนวนี้แล้วปกติเป็นคนเชื่อเรื่องพวกนี้หรือเปล่า
เชื่อนะครับ เรื่องผี เรื่องปีศาจอันนี้ผมก็เชื่อ ว่ามันน่าจะมีอยู่ เพียงแต่ผมยังไม่เคยได้เจอกับมัน คลื่นเราอาจไม่ตรงกับคลื่นของเขา ผมเลยไม่สามารถจะมองเห็นมันได้ ซึงก็อาจเป็นไปได้ที่มีคนเคยเห็น สิ่งเหล่านั้น อาจจะเป็นเด็กก็ได้ ผู้ใหญ่ก็ได้



มีอุปสรรคในการทำงานบ้างไหม
อุปสรรคของเรื่องนี้ก็คือ คาแรคเตอร์ครับ ตัวตนจริงๆของผมกับป้องภพไม่มีอะไรเหมือนกันเลย ฉะนั้นก่อนจะเข้าฉากผมเลยต้องทำการบ้านกับมัน มากพอสมควร บางที เราก็ไม่รู้ว่าฉากนี้ตรงนี้ ควรจะรู้สึกยังไงต้องเล่นถึงขนาดไหน ผู้กำกับเค้าก็จะปล่อยให้เราเล่นไป ตามความรู้สึกของเราก่อน ถ้าน้อยไปหรือมากไปพี่เหลิมผู้กำกับเค้าก็จะคอยบอกตลอด ช่วงแรกที่เข้าฉากมันก็เลยทำให้ผมเกร็งๆอยู่บ้าง เพราะเราไม่เคยเล่นหนังมาก่อน แต่พอหลังๆเนื้อเรื่องมันเข้มข้นขึ้น มันมีความซับซ้อนมากขึ้น เราก็เริ่มเข้าใจในตัวละครที่เราต้องเล่น เลยทำให้เราทำงานง่ายขึ้นครับ

ความประทับใจในหนัง
จริงๆในเรื่องนี้ผมมีความประทับใจอยู่หลายอย่าง ทั้งการทำงานเพื่อนๆพี่น้องในกองถ่าย แต่มีอยู่อย่างนึงที่ผมประทับใจเป็นพิเศษ คือผมเป็นคนชอบรถมินิมาก อยู่แล้ว แต่ไม่ค่อยชอบเกียร์กระปุกเท่าไหร่ แล้วในเรื่องนี้รถประจำตัวของผมคือรถมินิ มีวันนึงผมได้เข้าฉากที่ต้องขับรถไปตามทางแล้วก็ขับกลับเข้ามาในบ้าน ผมเลยตื่นเต้นมาก ไม่คิดว่าตัวเองจะได้ขับรถที่ตัวเองชื่นชอบ วันนั้นเลยได้ขับรถมินิเกียร์กระปุกตลอด มันรู้สึกดีมากเลยได้ขับรถที่เราชื่นชอบ สนุกดีครับ

ฉากที่ยาก
ครับฉากนั้นเป็นฉากที่ผมต้องลงไปอยู่ในสระว่ายน้ำ คือเป็นฉากหนึ่งที่เรากลับไปที่บ้านแล้วเผอิญว่าเกิดระเบิดขึ้นจากห้องครัว แรงระเบิดทำให้เรากระเด็นตกลงไปในสระ ว่ายน้ำ มันยากเพราะว่า ตอนที่ถ่ายทำกันมันค่อนข้างดึกมาก แล้วและเป็นช่วงหน้าหนาว น้ำในสระก็เย็นมาก สองคือมีฝนตกปรอยๆตลอดเวลาใต้น้ำก็มืดมากแสงจากข้างบนมันส่องลงมาไม่ค่อยถึง แล้วเผอิญว่าก่อนที่จะลงไปในสระหมาก็หอนครับผม (หัวเราะ)

ตอนแรกก็กลัวเหมือนกันคิดไปต่างๆนานา ว่าถ้าเราลงไปแล้วเราจะได้ขึ้นหรือเปล่านะ (หัวเราะ)แล้วในเรื่องหลังจากที่เรากระเด็นลงไปในสระน้ำและสลบอยู่ในสระแป๊ปนึง พอรู้สึกตัวก็ต้องกระโจนตัวขึ้นมา เพราะฉะนั้นเวลาที่ผมลงไปผมจะพยายามปล่อยลมหายใจให้มากที่สุดแล้วอาศัยลมที่เรามีอยู่น้อยนิดเนี่ยแหละครับดันให้เราขึ้นมาที่ผิวน้ำ ตอนถ่ายพี่ๆเค้าก็เอาตะกั่วมาถ่วงตัวไว้ สัก 3-4 ก้อนเพื่อให้เราจมลงไปก่อนแล้วค่อยโผล่ขึ้นเหนือน้ำ เพราะถ้าไม่ถ่วงเอาไว้ตัวเราก็จะไม่จม มันก็จะไม่ได้ภาพตามที่ผู้กำกับต้องการ คืนนั้นผมลงไปอยู่ในน้ำตั้งแต่หลังทานข้าวเสร็จจนถึงเวลาประมาณเกือบตี 3 แน่ะครับ นานมาก ตัวเปื่อย สั่นไปทั้งตัวเลยครับ พวกทีมงานก็พยายามหาผ้าอุ่นๆกับน้ำอุ่นให้ทานตลอดเวลาเลยครับ

อีกฉากหนึ่งที่ว่ายากก็เป็นฉากที่ ผมต้องรีบขับรถกลับบ้านเพื่อที่จะไปดูแลลูกกับแฟนเรานะครับ แต่ระหว่างทางที่กำลังขับรถกลับบ้าน เครื่องยนต์ของรถเราก็เกิดระเบิดระเบิดควันโขมง ทำให้เรามองไม่เห็นทางครับ รถเราเลยแฉลบพุ่งเข้าหารถบรรทุกท่อ พอเราเห็นว่ารถกำลังพุ่งเข้าชน เราก็หักพวงมาลัยหลบ ซึ่งฉากนี้เป็นอะไรที่ต้องเสี่ยงตายมาก ถ้าควบคุมรถไม่ได้หรือหักหลบไม่ทัน กับจังหวะที่ควรก็จบกัน

และฉากนี้ต้องมีการถ่ายทำกันบนเทิรน์เทเบิลด้วย เทิรน์เทเบิลมันจะหมุนไปหมุนมาตามจังหวะของรถที่เราดีไซน์กันเอาไว้ ตอนแรกผมจับจังหวะมันไม่ถูกเลยครับเพราะถ้าเครื่องหมุนไปทางไหน เราต้องหมุนพวงมาลัยให้เข้ากับจังหวะการหมุนของเครื่องด้วย เพราะถ้ามันไม่ได้จังหวะมันก็จะไปพอดีกับการเคลื่อนไหวของเราและการหมุนของตัวรถนะครับซึ่งค่อนข้างจะยากพอสมควรครับ
ผมก็ต้องขอขอบคุณพี่สตั้นนะครับ ที่ขับรถมินิแทนผม คือฉากนี้มันอันตรายมาก ภาพที่เราจะได้เห็น กันในหนังคือภาพที่รถกำลังวิ่งมาด้วย ความเร็วสูงแล้วกำลังจะพุ่งไปชน กับรถขนท่อพอดี แล้วรถมินิจะต้องเข้าไปใกล้กับรถขนท่อมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ และหักพวงมาลัยหลบรถบรรทุกแบบเฉียดฉิว พี่สตั้นเค้าสามารถขับรถได้อย่างน่าหวาดเสียวทำได้ภายในเทคเดียว เพราะว่าผู้กำกับเขาต้องการให้ระยะห่างระหว่างรถกับท่อเนี่ยใกล้กันมากที่สุดซึ่งผมดูมอนิเตอร์แล้วพูดไม่ออกเลย พี่สตั้นเค้าขับรถมาแต่ไกลแล้วก็มีอาการเสียการทรงตัวของรถนะครับแล้วก็ดึงเบรกมือแบบกะทันหัน หวาดเสียวมากเลยครับ อึ้งกันทุกคน เพราะถ้าพลาดแม้แต่นิดเดียวนะครับ...ไม่อยากจะคิดเลยครับ

----------------------