๒๕๕๐-๑๐-๒๙

Witthaya Interview 2

หนุ่มโสดในฝัน?


หากคุณเป็นผู้ชมทีวี เราเชื่อว่ารูปโฉมของหนุ่มคนนี้คงเคยผ่านตาของคุณบ้างแล้ว แต่ จะจดจำเขาได้หรือไม่-นั่นอีกเรื่องหนึ่ง "อั๋น" วิทยา วสุไกรไพศาล เคยได้รับโหวตเป็นหนุ่มโสดในฝันของนิตยสารสาวรุ่น เคย เป็นพระเอกในมิวสิก วิดีโอเพลงดังของมาช่า วัฒนพานิช รวมทั้งเคยมีบทบาทในละครทีวี "หนุ่มห้าวสาวใส หัวใจปิ๊ง"ที่เพิ่งออกอากาศทางไอทีวี ถ้าคุณยังไม่คุ้น-ไม่เป็นไร วันนี้เรานัดหมายเขามาสนทนา แบบเบาๆ สบายๆ เพื่อให้คุณได้รับรู้เรื่องราวของเขามากขึ้น เขารับปาก และมาตามนัดหมาย อย่างตรงเวลา

โฆษณาชิ้นแรกของอั๋นคืออะไร

เป็นโฆษณารถเชฟโรเล็ต เซฟิราครับ คอนเส็ปต์ turn left, turn right น่ะครับ เป็นเรื่องราวของผู้หญิงกับผู้ชายที่คลาดกันไปมา มีห้องพักอยู่ติดกันในคอนโดฯ แต่ว่าไม่เคยเจอกันเลย โฆษณาชิ้นนั้นอายุประมาณสองปี เท่าอายุการทำงานของผมเลยครับ ต่อมาก็มีโฆษณาและ mv ติดต่อเข้ามาเรื่อยๆ

ดูเหมือนจะเห็นใน mv ค่อนข้างเยอะ

ใช่ครับ เป็นส่วนมากเลยครับ มากกว่าโฆษณา โดยเฉพาะโฆษณานี่ผมก็ไปแคสต์มาเยอะเหมือนกัน แต่มันก็ค่อนข้างจะยาก เพราะมีนายแบบหลายคนให้เลือกคุ้นเคยกับการแสดงมาบ้างหรือเปล่าไม่เลยครับ แต่เคยมีร่วมกิจกรรมกับทางโรงเรียนบ้าง อย่างตอนเรียนอยู่ชั้นอนุบาลก็เคยขึ้นเวทีแสดง แล้วชั้นประถมฯผมก็เคยเต้น แต่พอช่วงมัธยมฯไม่ค่อยมีแล้ว ส่วนมหาวิทยาลัยนี่ ผมไปทางกีฬามากกว่า คือเตะฟุตบอลให้กับคณะ การแสดงต่างๆ ผมเรียนรู้เอาจากการทำงาน แล้วก็จากเวิร์กช็อป เพราะบางครั้งก่อนจะไปถ่ายหนังหรือละครก็จะมีการส่งไปเรียนก่อน ผมก็เรียนรู้จากตรงนั้น ทีแรกผมคิดว่ามันจะง่าย ไปทำอะไรก็ได้ที่ข้างหน้า แต่จริงๆ แล้วมันมากกว่านั้น ตอนนี้ผมพยายามเรียนรู้อยู่ คือได้ในระดับหนึ่ง แต่มันไม่ถึงที่สุดเลิกเขินอายหรือยังจริงๆ ก็ยังไม่เลิกอายละครับ ยังมีบ้างสำหรับใครที่ผมไม่คุ้นเคย แต่พอทำงานมากขึ้นเรื่อยๆ ผมก็พอจะรู้ว่า การให้สัมภาษณ์ หรือการติดต่อผู้คน ถ้าเราเงียบๆ เฉยๆ ทางคนรับก็ไม่ได้ เราคนให้ก็ไม่ได้ คือมันต้องพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ผมก็ต้องคิดเสียว่ามันคือการทำงาน คิดเสียว่าเราทำงาน ยังไงเราก็ต้องพูด ถ้าผมอยู่นิ่งๆ มันก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น

แล้วเอาอะไรมาพูดล่ะ

ก็บางสิ่งที่ผมรู้น่ะครับ อย่างเวลาสัมภาษณ์ ถ้ามันเกี่ยวกับตัวผม ผมก็สามารถพูดออกมาได้เลย แต่ถ้าอันไหนที่ผมต้องใช้เวลานึก...บางทีพีอาร์เขา ก็เคยถาม มีคอลัมน์ของนิตยสารจะให้ลง แล้วให้ผมช่วยนึกหน่อย อันนี้บอก ตรงๆ ว่าผมไม่ค่อยเก็บรายละเอียดเกี่ยวกับตัวเองสักเท่าไหร่ ผมจะปล่อยไป ช่างมัน สิ่งที่ผ่านมาโอ.เค.รู้ว่าดีหรือไม่ดีก็จบ ไม่เคยจำไว้ แต่พอเริ่มต้องให้ ข่าว บางทีผมก็ต้องจำอะไรบางอย่างไว้ เผื่อเอาไปใช้ เอาไปพูดคุยกับเขาได้ เวลาเขาถามมา หลายคนเคยบอกว่าผมน่ะมีตรรกะเยอะ ซึ่งการแสดงบางครั้งมันไม่จำเป็นต้องใช้ตรรกะเยอะขนาดนี้ คือผมเป็นคนคิดมาก ผมคิดมากตลอดเวลา จนทำให้การแสดงบางครั้งมันไม่ไหลลื่น เพราะอะไร ไม่ทราบเหมือนกันครับ คือมันเป็นอยู่ในสมอง มันฝังรากลึกอยู่ คิดด้วยเหตุผล ไม่ว่าเรื่องการแสดงหรือการทำงานต่างๆ ผมพยายามปลดปล่อยตัวเอง พยายามคิดบ้างแต่คิดน้อยๆ ทุกอย่างมันแข็งไปหมด เพราะการแสดง ถ้าเราคิดมากมันยิ่งทำให้เราเป็นเหมือนหุ่นยนต์ มันไม่ไหลไปตามอารมณ์

อั๋นเรียนจบคณะวิทยาศาสตร์มา

ใช่ครับ วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีชนบท มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ก็สนุก ดีครับ...ชีวิตเลือกเองเลยหรือครับ ความจริงผมเลือกเผื่อไว้ คือก่อนหน้านั้นรุ่นผมมีสิทธิ์เลือกได้หก ลำดับ แต่ปีนี้เป็นปีแรกที่ผมเลือกได้แค่สี่ วิทยาศาสตร์เนี่ยผมเลือกไว้ลำดับ สุดท้าย อันดับแรกผมเลือกสถาปัตย์ (หัวเราะ) ตอนสอบสัมภาษณ์จำได้ว่าครูก็ถาม รู้มั้ยว่าวิชานี้ต้องเรียนเกี่ยวกับ อะไรจบแล้วทำอะไร ผมก็ไม่ทราบ ชื่อมันแปลกๆ แต่ถ้าจะให้ผมเลือกเรียนเคมี ชีวะ หรือฟิสิกส์ ตอนนั้นผมก็ไม่เอาครับ ครูเขาก็อธิบายว่ามันเป็นสหวิชาที่เกี่ยวกับเกษตรกรรม วิศวกรรม และเศรษฐศาสตร์ ผมก็เออ...ลองเรียนดู

ภาควิชาที่อั๋นเรียน จบแล้วทำอะไรได้บ้าง

หลายอย่างครับ จะเป็น อบต.ก็ได้ เป็นพวกบริหารส่วนท้องถิ่นก็ได้ ที่ผม เรียนนี่มันเกี่ยวกับภาคชนบท พวกก่อสร้าง แหล่งน้ำ เกษตรกรรม แล้วมีเศรษฐศาสตร์ที่เสริมเข้ามา ก็คือไปขุดดิน ปลูกผักเป็นแปลงก็ทำมาแล้ว ขุดดินจนมือแตก ซึ่งไม่เคยจับจอบจับเสียมก็ต้องจับ แล้วไปอยู่ดอย อยู่กับชาวเขา ไปเรียนรู้ชีวิตชาวบ้าน ไปทำแผนที่ ไปเรียนรู้ประชากรในหมู่บ้าน หรือสัตว์เลี้ยงของชาวบ้านว่ามีกี่ตัว ตอนนั้นผมไปที่เชียงใหม่ ที่นั่นชาวบ้านเขาทำไร่ชา บ่มใบชา ใบเมี่ยง ที่เขาเก็บไว้หมัก แล้วก็มีเดินเท้าเพื่อใช้วัดแผนที่ แล้ววัดคร่าวๆ ว่าเราเดินกี่ก้าวเท่ากับกี่เมตร ก็นับก้าวเดินไป ทำเป็นแผนที่คร่าวๆ ว่ามีหมู่บ้านตรงไหน มีน้ำตกตรงไหน ตั้งอยู่ตรงไหนใครชื่ออะไร ตอนนั้นผมไปกับเพื่อนๆ สาขานี้คณะนี้จำได้ว่าตอนผมเข้ามาเรียนแรกๆ ชั้นเรียนจะมีอยู่ประมาณสามสิบกว่าคนได้ ผู้ชายค่อนข้างน้อย แต่พอเรียนๆ ไปนักศึกษา เหลืออยู่แค่ยี่สิบคน มีผู้ชายแค่สามคน ผมเป็นหนึ่งในนั้น ที่เหลือเป็นผู้หญิงเสียสิบเจ็ดคน ขอเท้าความหน่อย ตอนที่ผมเรียนอยู่ชั้นประถมฯ ชั้นมัธยมฯ ผมเรียนโรงเรียนชายล้วนมาตลอด จนมาถึงมหาวิทยาลัย ผมก็ทำตัวไม่ถูก ไม่รู้จะคุยกับผู้หญิงยังไง ซึ่งตัวผมเองก็มีน้องสาวนะ แต่ว่า...คนอื่นผมก็ไม่รู้ แล้วพอมาเรียนคณะนี้ทำให้ผมรู้ว่า จริงๆ แล้วผู้หญิงก็มีชีวิตที่ลุยๆ เหมือนกันนะ ตอนที่เราช่วยชาวบ้านสร้างโรงเรียนเนี่ยผู้หญิงก็ช่วยขนอิฐขนน้ำขนทรายคนละถัง ต่อแถวกัน ผมก็รู้สึกเออ...ผู้หญิงไม่เห็นต้องได้รับการดูแลจากผู้ชายก็ได้ คือ เขาก็สามารถอยู่ของเขาได้ ซึ่งก่อนหน้านี้ผมไม่เคยรู้จักผู้หญิงมาก่อน แต่ผมว่ามันก็มี ผู้หญิงส่วนใหญ่ก็อดทน แข็งแรง นอกจากบางคนซึ่งเป็นส่วนน้อยก็ได้ ตอนนั้นพอได้ใช้ชีวิตร่วมกับเพศตรงข้ามแล้วผมก็เลยได้รู้ เป็นประสบการณ์ชีวิตที่ดีอย่างหนึ่ง

การเรียนราบรื่นดีไหม

ราบรื่นดีครับ คือผมเป็นเด็กเรียนมาตั้งแต่อยู่ชั้นประถมฯ คือเรียน โรงเรียนคริสต์ชายล้วนมาก่อน ตอนนั้นผมตั้งใจเรียน แล้วพอมาช่วง ม.ต้น ม.ปลาย ผมย้ายมาเรียนโรงเรียนวัดไทย ก็รู้สึกว่ายังเรียนเก่งอยู่ อาจจะพื้นฐานดี ช่วง ม.ต้นก็ยังดีอยู่ จนกระทั่งมาเรียน ม.ปลาย ก็เริ่มมีโดดเรียนบ้าง ไปเตะบอล เล่นสนุ้กฯ ตามเพื่อน คงเพราะเป็นช่วงชีวิตวัยรุ่นมั้ง ส่วนใหญ่โดดเรียนแล้วไปเล่นกีฬามากกว่า ไม่ค่อยมีพวกเสพยา เที่ยวผู้หญิงก็ไม่มี แต่ก็ผ่านพ้นมาได้ จนมาถึงมหาวิทยาลัย คือผมก็ยังตั้งใจเรียนอยู่ ตอนปีหนึ่ง ยังไม่ค่อยรู้จักเพื่อน พอขึ้นปีสองก็เริ่มมีโดดเรียนบ้าง ตกดึกก็ไปนั่งกินเหล้ากับเพื่อนที่หลังมหาวิทยาลัยบ้าง ซึ่งตอนนั้นธรรมศาสตร์ที่รังสิตยังไม่ค่อยเจริญเหมือน สมัยนี้ มันก็มีร้านเป็นเพิง ด้านหน้าติดถนนใหญ่ก็มีอีกเพิงหนึ่ง เราไปกันตรงนั้น เรื่องกินเหล้า จริงๆ ผมก็กินมาก่อนแล้วช่วงเรียน ม.ปลาย แต่มาเริ่มหนักตอนเรียนมหาวิทยาลัย เพราะมีเพื่อนผู้ชายหลายคน พวกเขากินกัน การเรียนก็ยังไม่ถึงกับตกมาก แต่ก็ไม่ได้ดีมาก เวลาใกล้สอบก็จะพึ่งหนังสือของเพื่อนในห้อง ลายมือใครสวยก็ขอมาซีร็อกซ์อ่าน ทำความเข้าใจ โดดเรียนไปไหน ก็อยู่แถวๆ นั้นละครับ อยู่หอ ไปห้างฟิวเจอร์ฯ ตอนกลางวันเวลาโดดเรียนก็ไม่รู้จะไปไหนละครับ เพราะมันไกลจากที่อื่น คือถ้าไม่อยู่หอนอน ก็ไปเตะบอลกับกลุ่ม นั่งเล่นเกมอยู่ที่โต๊ะกลุ่ม พอปีสาม-ปีสี่ก็เริ่มอยู่กับสาขาตัวเองแล้ว แต่เพื่อนๆ กลุ่มเก่าก็ยังคบกันเหมือนกัน ตอนเย็นๆ ยังเตะฟุตบอลโกลรูหนูกันอยู่ การเรียนก็ช่วยๆ กัน เพราะในห้องเหลืออยู่ยี่สิบคน ช่วยๆ กันเรียน บางครั้งก็ต่างคนต่างอ่าน ใคร ไม่เข้าใจอะไรก็มาถามกัน ช่วงที่ไปดอยก็แบ่งกลุ่มกัน ก็ดีครับ เหมือนกับเราได้ไปเรียนรู้อีกชีวิตหนึ่งของคนที่อยู่ไกลกว่า คนที่ลำบากกว่าเรา ได้รู้ว่าเขาอยู่ยังไง กินยังไง


พอเรียนจบแล้วทำอะไร

ตอนผมเรียนจบ ช่วงนั้นเศรษฐกิจไม่ดีครับ ประมาณปี "40-"41 ผมก็ว่างอยู่ช่วงหนึ่ง ก็เลยไปบวชให้พ่อแม่ หลังจากสึกออกมาก็ได้ทำงานเพราะเพื่อนชวนไปทำ เป็นบริษัทเกี่ยวกับการวางแผนคลังสินค้า เป็นพวกโลจิสติกน่ะครับ เข้าไปทำอยู่ปีหนึ่ง ไปนั่งอ่านคล้ายๆ แมนวลของโปรแกรมสำเร็จรูป เขาเอามาจากต่างประเทศ ตอนนั้นผมก็มองว่าตลาดด้านคอมพิวเตอร์น่าสนใจ มันเหมือนการเรียนรู้อย่างหนึ่ง ภาษาอังกฤษของผมก็ไม่ได้แย่มาก มีพื้นฐานอยู่พอสมควร ช่วงที่ทำงานอยู่ก็ตัดสินใจลาออก ตามพี่ชายไปเรียนต่อที่อเมริกาไปที่รัฐไหนโคโลราโดครับ ไปเรียนภาษาต่ออีกปีหนึ่งเพื่อที่จะสอบโทเฟล ระหว่างนั้นก็ทำงานพาร์ตไทม์ด้วย ไปทำอยู่ร้านอาหารไทย ไปล้างจานก่อน เท่าอายุที่เรียนภาษาเลยครับ (ยิ้ม) แต่ช่วงนั้นก็รับจ้างส่งหนังสือพิมพ์ตอนเช้าด้วย เพราะตอนเรียนภาษาเวลามันค่อนข้างยืดหยุ่นได้ ทำให้ผมสามารถจัดเวลาได้ จนสอบโทเฟลผ่าน ผมก็เข้าเรียนที่คอลเลจของมหาวิทยาลัยเดนเวอร์ เรียน MCS (Master of Computer System) อยู่สองปีเต็ม ช่วงที่เรียนก็เลิกส่งหนังสือพิมพ์แล้ว แต่ยังทำอยู่ที่ร้านอาหารไทย ก็ได้เลื่อนขั้น จากเด็กล้างจานมาเป็นพนักงานเสิร์ฟบ้าง เป็นผู้จัดการบ้าง ก็ทำทุกอย่าง ผมเรียนอยู่สองปี ค่อนข้างหนักหนาสาหัส ไม่มีเพื่อนคนไทย เรียนอยู่คนเดียว จะมีก็แต่เพื่อนจากเอเชียที่เป็นอินโดฯ เกาหลี แล้วก็เป็นฝรั่งที่เป็นผู้ใหญ่แล้วพอเรียนจบก็สมัครวีซ่าทำงานใช้สิทธิ์ของนักศึกษาต่างชาติประมาณ ปีหนึ่ง ผมก็อยู่ต่อแค่แปดเดือนก็กลับเมืองไทย กลับมาแล้วก็ยังไม่ได้ทำงานเป็นเรื่องเป็นราว ยังไม่ได้ทำงานเป็นของตัวเองเลยครับ ก็เผอิญว่า-อย่างที่บอก-ไปแคสต์ก่อนแล้วได้

มีอะไรมาจุดประกายให้สนใจทำงานด้านบันเทิง

ตอนแรกๆ มันเหมือนกับความสงสัยส่วนตัวว่าจะทำได้หรือเปล่า ตอนนั้นคิดว่าถ้าไม่ทำแล้วตัวเองจะเสียดายหรือเปล่า เพราะว่าก่อนที่จะไปเรียนต่อ ก็เคยเจอคนชวนไปเป็นนักแสดง ได้นามบัตรของเขามา ใจก็คิดอยากจะโทร. แต่สุดท้ายก็ไม่ได้โทร.ไป อาจจะเป็นตรงจุดนี้ก็ได้มั้ง สงสัยตัวเองว่าทำได้หรือเปล่า พอดีได้จังหวะก็เลยลองดู เข้าไปแคสต์ ตอบคำถามตัวเอง แล้วอาจจะเป็นโชคด้วยมั้งครับ ปรากฏว่าผมได้ ความรู้สึกแรกที่เข้ามาผมก็อยากเข้ามาแบบเต็มตัว แต่พอคุยกับผู้ใหญ่ดูแล้ว เขาบอกว่าผมยังเข้ามาไม่เต็มตัว เหมือนมีอะไรอยู่ คือความคิดผมยังเป็นระบบอยู่ มันยังไม่ปล่อยออกมา แต่ความรู้สึกผมตอนนั้นก็ว่าผมเข้ามาเต็มตัวแล้วนะ งานประจำผมก็ไม่ได้ทำ ซึ่งมันเสี่ยง

สมัครงานอื่นไว้บ้างหรือเปล่า

ก็มีครับ เป็นงานด้านคอมพิวเตอร์ แต่พอมาคิดดูจริงๆ แล้วผมมีประสบการณ์ค่อนข้างน้อย จบปริญญาตรีมาก็ไม่ใช่ด้านคอมพิวเตอร์เสียด้วย พอบริษัทที่ผมสมัครเงียบไป ก็รู้แล้วว่าไม่ได้แน่ๆ ประกอบกับงานโฆษณากับงาน mv เรียกไปแคสต์อยู่เรื่อยๆ ก็เลยได้ลองทำดู มันก็เป็นงานที่สนุกด้วยส่วนหนึ่ง แต่ถามว่าเหนื่อยมั้ย มันก็เหนื่อยนะครับ เพราะว่าผมไปแคสต์มาเยอะเหมือนกัน กว่าจะได้งานมาสักงานหนึ่ง อย่างงานโฆษณาเนี่ย กว่าจะแคสต์เสร็จ ต้องผ่านทั้งผู้กำกับฯ เอเจนซี แล้วไหนจะลูกค้าอีก มันใช้เวลาเหมือนกัน งานโฆษณาชิ้นแรก ความยาวมันแค่หกสิบวิ. แต่ใช้เวลาถ่ายทำถึงสามวัน ซึ่งความรู้สึกผม โอ้โห...ไม่น่าเชื่อ ยิ่งวันแรกนี่จำได้ว่าถ่ายตั้งแต่เช้าจนถึงเที่ยงคืน แล้วยิ่งทำมาเรื่อยๆ ก็ยิ่งรู้ว่ามันไม่ใช่งานง่ายอย่างที่ตัวเองคิด มันมีอะไรบางอย่างที่ผมต้องเรียนรู้ตลอดเวลา อย่างตอนนี้ผมก็ไม่ได้หยุดนิ่งนะครับ พยายามเรียนรู้ พยายามสังเกตเอา เพราะแรกๆ ผมอาจจะปล่อยผ่าน ไม่ได้จดจำ หลังๆ นี่ผมสังเกตจดจำบ้าง แล้วตอนนี้มีโอกาสได้ถ่ายละครยาวเรื่องแรก (หนุ่มห้าวสาวใส หัวใจปิ๊ง) ก็ยิ่งให้ผมได้เรียนรู้สัมผัสได้บ่อยได้มากขึ้น

อั๋นมีผลงานหนังด้วยใช่ไหม
ใช่ครับ เรื่อง"โคลิก" ตอนแรกเขาบอกว่าปลายปีที่แล้วจะฉาย ต้นปีจะฉาย ไม่ยังไม่ได้ฉาย เพราะที่ผ่านมาต้องถ่ายเพิ่มบางฉาก ตอนนี้เขาบอกว่าได้เวลาเข้าฉายโรงแล้วช่วงเดือนมิถุนายนนี้ ก็หวังว่าคงไม่เลื่อนอีก ผมก็อยากดูเหมือนกันครับ เพราะเห็นตัวอย่างแล้ว ผู้กำกับฯเอาบางฉากมาให้ดู แต่มันไม่ต่อเนื่อง ภาพมันสวยดี แล้วมันน่าจะสะดุ้งนะผมว่า เล่นเป็นพระเอก เล่นเป็นพระเอกครับ ซึ่งมันก็แปลกนะ เวลาคนถามว่าเล่นเป็นพระเอก มั้ย ผมก็ไม่รู้จะตอบไง ถ้าเขาถามอย่างนี้ผมก็คงต้องตอบว่าเล่นเป็นพระเอก เนาะ ตอนแรกก็อยากจะตอบว่าเล่นเป็นตัวหลัก พระเอกฟังแล้วมันยังไงๆ ไม่รู้ แต่หลังๆ ผมเริ่มชินแล้วครับ (ยิ้ม)

ผลงานละครเวทีก็จะมีเร็วๆ นี้เหมือนกันใช่ไหม

ครับ "สามคู่ชู้ทั้งนั้น" รับบทเป็นอาร์ต ไดเร็กเตอร์ ออกแนวเซอร์ๆ จริงๆ แล้วไม่ว่างานโฆษณา งาน mv ลุคผมจะเซอร์ๆ ก็แปลกดีครับ ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมผมถึงมีลุคแบบนี้ แต่ก็ดีครับ คือถ้าให้ผมเปลี่ยนตัวเองเป็นตัวละครอื่น คงต้องใช้เวลา ใช้ประสบการณ์ในการเปลี่ยนตัวเองอยู่พอสมควร ตอนนี้ผมขอแค่เรียนรู้ระบบเรื่องกล้องเรื่องอะไรก่อน ส่วนเรื่องการแสดง การใช้อารมณ์ หรือการแสดงออกทางสีหน้า ผมว่าผมคงต้องใช้เวลาเรียนรู้มากจนมั่นใจว่าตัวเองทำได ้ เรื่องละครเวที ตอนที่ผมถ่ายโฆษณากับ mv อยู่ ใจผมคิดตลอดว่าสักวันผมอยากเล่นละครเวที แต่สักวันหนึ่งของผมมันเร็วมาก คือผมกะว่าจะเก็บประสบการณ์ เล่นละครทีวีจนชำนาญแล้วค่อยมาเล่นละครเวที แต่ว่ายังไม่ทันได้อะไร ผู้ใหญ่โทร.มาถาม มีละครเวทีติดต่อมา สนใจมั้ย จะลองเล่นดูมั้ย ผมก็ไป เจอพี่ลิง (สุวรรณดี จักราวรวุธ) ซึ่งเป็นผู้กำกับฯ กับพี่โจ้ (ดารกา วงศ์ศิริ) เป็นคนเขียนบท ตอนแรกผมไปนั่งดูก่อน เรื่อง"กุหลาบสีเลือด" โอ้โห... แค่เห็นฉากผมก็ตะลึงแล้ว บ้านสองชั้นอยู่ในโรงหนังซึ่งทำเป็นโรงละคร ไม่น่าเชื่อ นักแสดงแต่ละคนก็เล่นกันสดๆ ผมนั่งคิด ตัวเองจะเล่นได้เหรอ แต่ผมก็ตัดสินใจเล่นเลย ไปนั่งคุยกัน พี่ลิงก็บอก อั๋นเล่นได้ เอาเลย ผมใช้เวลาซ้อมอยู่เกือบเดือน ซ้อมเกือบทุกวัน วันละสาม-สี่ชั่วโมง ตรงนี้ต้องขอบคุณพี่ลิงมาก เพราะพี่ลิงให้เวลากับผม

เรื่องแรกที่เล่นคือ "อลหม่านหลังบ้านทรายทอง"

ใช่ครับ มันต่างจากสิ่งที่ผมเคยทำมาทั้งหมดเลย เพราะ mv หรือโฆษณามันจะสั้นๆ บล็อกกิ้งจะไม่ยาว แต่ละครเวทีนี่มันทั้งเวทีเลย ซึ่งผมไม่เคยได้เรียนรู้มาก่อนว่าต้องมีเป้าหมายที่จะไป ตรงนี้ตรงนั้น หรือการโปรเจ็กต์เสียง ซึ่งข้อเสียของผมอย่างหนึ่งก็คือ เป็นคนพูดอยู่ในคอ โทนเสียงต่ำด้วย เวลาแสดงแล้วมันจะไม่ได้ ผมก็ต้องฝึกออกเสียง อา-อี-อู-เอ-โออยู่นาน แล้วพี่ลิงยังสอนเรื่องลมหายใจ การรับส่งบท ซึ่งพอมีโอกาสได้เล่นจริงก็ตื่นเต้นครับ ต้องเจอดารารุ่นใหญ่ทั้งนั้นเลย ช่วงประมาณสามรอบแรกผมยัง แข็งๆ อยู่เลย ผมเองไม่รู้ตัวหรอกนะครับ ที่บ้านไปดูเขาบอกว่ายังแข็งๆ แต่พอรอบต่อๆ ไปค่อยดีขึ้น ผมชอบตอนที่ออกไปยืนเรียงแถวเป็นหน้ากระดาน แล้วคนปรบมือให้ มันให้ความรู้สึกดีครับ

คิดว่าอั๋นเป็นที่รู้จักของผู้คนจากผลงานอะไร

คนรู้จักเหรอครับ (นิ่งคิด) มันก็แล้วแต่กลุ่มนะครับ จากมิวสิก วิดีโอบ้าง จากงานถ่ายหนังสือบ้าง แต่ส่วนใหญ่แล้วคงรู้จักโฆษณาทางทีวีน่ะครับ เวลาไปไหนมาไหนใครเห็นก็ยังคงพอคุ้นๆ หน้า แต่ไม่รู้ว่าเคยเห็นจาก ไหน ถ้าบอกว่าจากมิวสิกฯ เขาก็จะอ๋อกัน ก็คงพอคุ้นๆ

ตัดสินใจหรือยังว่าจะยืนหยัดอยู่ในวงการบันเทิง

ความจริงผมก็อยากจะทำงานอยู่ในวงการนี้ไปเรื่อยๆ นะครับ แต่มีคนพูดกันบ่อยเลยว่าไม่ได้หรอก มันเป็นอะไรที่ฉาบฉวย แป๊บเดียว โกยได้โกย มันก็มีตัวอย่างให้เห็นนะครับว่านักแสดงสามารถทำงานอยู่ในวงการ ได้นาน เพียงแต่มันเป็นตัวอย่างที่น้อย แล้วยิ่งปัจจุบันมันไม่เหมือนสมัยก่อน มีหลายค่าย หลายคน ผมก็เป็นแค่คนหนึ่งซึ่งวัยก็ใกล้จะกลางคนแล้ว แต่ผมว่า ถ้าเรามีความสามารถ มีความรับผิดชอบที่ดีพอ เราก็สามารถยืนหยัดอยู่ได้ระดับหนึ่ง ส่วนจะยาวนานแค่ไหนนั้นก็ขึ้นอยู่กับว่าคนจะให้โอกาสมากกว่าวางแผนกับชีวิตตัวเองไว้อย่างไรตอนนี้ผมยังไม่ได้วางแผนระยะยาว ผมคิดว่าผมทำตรงนี้ให้มันดีเสีย ก่อน เพราะผมยังรู้สึกว่ามันยังไม่ดีเท่าที่ตัวเองพอใจ คืออยากทำให้มันดีจนตัวเองพอใจก่อน ผมค่อนข้างมีสเปซของตัวเองกว้างมาก แต่เดิมที่เข้ามาผมจะนั่งนิ่งอยู่คนเดียว ไม่คุยกับใคร หรือถามคำตอบคำ แต่พอทำงานมาถึงวันนี้ ผมต้องถอยกำแพงออกมา อันนี้หมายถึงช่วงเวลาทำงานนะครับ แต่ถ้าวันไหนผมอยู่ที่ข้างนอก สเปซของผมก็ยังเหมือนเดิม จะเงียบๆ นิ่งๆ หน้าตาย ไม่อะไรเลย เหมือนคนละคน แต่กับคนรู้จักก็จะคุย

พร้อมรับมือกับความมีชื่อเสียงในวันข้างหน้าหรือเปล่า

มันจะยังไงล่ะ (ยิ้ม) ผมยังไม่ดังขนาดนั้น ผมก็ยิ้มแย้มธรรมดา คือถ้าพูดคุยกันเฉยๆ ผมไม่ซีเรียสนะ พูดคุยกันได้ แต่ขออย่าให้มาแบบร้ายๆ หรือโทร.จิกโทร.ตาม อันนี้ไม่ได้นะครับ


จริงๆ แล้วอั๋นเป็นคนอย่างไร

ปกติผมเป็นคนง่ายๆ สบายๆ ไม่เรื่องมาก เวลาไปไหนก็เสื้อยืดกางเกงยีนส์ รองเท้าแตะ เดี๋ยวนี้พยายามไม่ใส่แล้ว เพราะผู้ใหญ่เตือนไว้ ถ้าไปงานก็โปะแป้ง ทำผมนิดหนึ่ง ถ้าถ่ายหนังสือก็ต้องทำให้มากหน่อย เพราะข้อเสียของผมก็คือ เป็นคนที่หน้ามัน ผมมัน เหงื่อออกง่าย ซึ่งผมรู้ว่าจะต้องเป็นภาระให้ช่างแต่งหน้าทำผมและช่างเสื้อคอสตูม (หัวเราะ) แล้วผมเป็นคนตรงเวลา จะนัดใครที่ไหน ถ้าไม่ถึงก่อนเวลาก็จะตรงเวลา แทบไม่สาย ผมจะเผื่อเวลาเดินทางไว้ แต่ก็แปลกนะครับ คนส่วนใหญ่เวลานัดเขาจะนัดก่อนเวลาเสมอ อย่างนัดกอง(ถ่าย)หรืออะไร เขามักจะนัดให้เราไปสแตนด์บาย นัดล่วงหน้าให้ไปนั่งรอกันสอง-สามชั่วโมง แต่ผมก็เข้าใจเขานะครับ

อั๋นเคยตกเป็นข่าวเรื่องความรักไหม

ยังไม่มีครับ แต่ผมก็มีคนที่คบอยู่ เวลาให้สัมภาษณ์เขาก็ถามประเด็นนี้เหมือนกัน แต่ตกเป็นข่าวยังไม่มีครับ (ยิ้ม) คนที่ผมคบอยู่ก็เป็นคนนอกวงการ ความจริงผมไม่อยากปิดนะครับ แต่ก็ไม่อยากจะป่าวประกาศ เพราะมันไม่ดีกับคนที่ผมคบอยู่ด้วย แต่ผมก็บอกให้เขารู้นะครับว่าผมทำอะไรในวงการนี้ ซึ่งมันก็คงจะมีบ้างระหว่างที่ทำงาน อย่างที่รู้กันว่าในวงการนี้มันมีแต่คนสวยคนหล่อ แต่ผมก็มั่นใจในตัวเองในระดับหนึ่ง ผมรู้ว่าตัวเองกำลังทำอะไรอยู่ ไม่ได้เข้ามาแล้วหวังจะทำอะไรอย่างอื่น มันไม่ใช่น่ะครับ ผมมาทำงาน มาร่วมงาน แล้วเวลาไปเที่ยวก็ไปเที่ยวเต็มที่ ผมว่าการเที่ยวส่วนหนึ่งก็ดีนะครับ มันทำให้นักแสดงได้คุ้นเคยกันมากขึ้น
สองปีที่แล้วอั๋นยังครองตำแหน่ง"หนุ่มโสดในฝัน"อยู่เลย
อ๋อ...ของนิตยสาร Cleo น่ะครับ เขาคัดเลือกจากหนุ่มโสดที่อายุไม่ถึง สามสิบ (ยิ้ม) ด้วยหน้าตา ซึ่งผมไม่ได้ชมตัวเองว่าหล่อนะครับ แต่ก็คิดว่าพอ ดูได้
เคยคิดเรื่องแต่งงานหรือเปล่า
เคยคิดครับ (ยิ้ม) แต่ตอนนี้ยัง ผมอยากทำงานตรงนี้ให้ดีที่สุดก่อน พอโอ.เค.แล้วค่อยว่ากัน
อั๋น-วิทยา อาจไม่ใช่พระเอกขวัญใจหรือตัวแทนวัยรุ่น แต่เขาคือนักแสดงหน้าใหม่ รุ่นใหม่ ที่มีความมุ่งมั่นในการทำงาน วันนี้ หากคุณคุ้นหน้าคุ้นตาเขาแล้ว ก็ลองติดตามและอุดหนุนผลงานของเขาต่อไป หรือสำหรับผู้ชมเพศหญิง อาจจะได้มี"พระเอกในฝัน"เพิ่มอีกสักคน
----------------------------

ไม่มีความคิดเห็น: