๒๕๕๐-๑๐-๒๙

Witthaya Interview 3

การมาถึงของความกล้าและโอกาส ของผู้ชายชื่อ "วิทยา วสุไกรไพศาล"


ชีวิตหนุ่มนักเรียนนอกคนหนึ่งที่เพิ่งสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาโทและไม่ได้มีความตั้งใจใดๆมากไปกว่าการเดินหน้ากลับมาหางานดีๆ ทำที่บ้านเกิดของตัวเอง หากโชคชะตาก็ได้พลิกผันชีวิตเขาเข้ามาสู่วงการมายา เพราะด้วยความกล้าและโอกาสนั่นเองวิทยา วสุไกรไพศาล หรืออั๋นหนุ่มมาดเซอร์คนนี้เคยชิมลางวงการบันเทิงมาแล้วจากการถ่ายโฆษณา มิวสิควิดีโอ ละครเวที พ่วงดีกรีความหล่อด้วยตำแหน่งหนุ่มโสดในฝัน ๒๐๐๕ จากนิตยสารคลีโอ

"ผมไปอยู่เมืองนอกมาเกือบ ๔ ปีครับ ไปเรียนปริญญาโท ช่วงที่เรียนก็มีทำงานพาร์ทไทม์ไปด้วยเหมือนกับนักเรียนไทยทั่วไปที่อยู่เมืองนอก ก็ทำหลายอย่างครับ ส่งหนังสือพิมพ์ เสิร์ฟอาหาร ล้างจาน จนเป็นผู้จัดการร้าน ทำมาหมด แต่ละหน้าที่ก็มีแต่ละอย่างให้เรียนรู้ไปตามความรับผิดชอบ ลุยดีครับ เรียนด้วย ทำงานด้วย ค่อนข้างเหนื่อยเหมือนกัน แต่สนุกดี เราเองมีความอดทนในระดับหนึ่ง ก็ต้องจัดการเวลาให้กับตัวเองพอสมควร พยายามทำทั้งสองสิ่งให้ดีครับตอนเรียนจบแรกๆ ผมก็เหมือนกับคนทั่วไปครับ คือ กลับมาก็เขียนเรซูเม่ ส่งใบสมัคร รอไปสัมภาษณ์ ผมจบทางด้านคอมพิวเตอร์มาครับ จาก University of Denver แต่อย่าถามเลยนะว่าได้ใช้หรือเปล่า (หัวเราะ)

ชีวิตผมเปลี่ยน ๓ แนว คือ ปริญญาตรีเรียนวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีชนบท จากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ปริญญาโทเรียนด้านคอมพิวเตอร์ พอจบก็มาทำงานการแสดง ด้วยจริงๆแล้วผมอาจจะเป็นคนที่วางแผนค่อนข้างระยะสั้น แต่พยายามทำแต่ละช่วงให้ดีที่สุด แต่ด้วยจังหวะและโอกาสที่มันเข้ามาก็คือเราได้ทดลองศึกษาหาความรู้ดูที่เข้ามาวงการแสดงนี่ จริงๆพื้นฐานเดิมเป็นคนค่อนข้างขี้อาย ไม่ค่อยกล้าแสดงออก แต่การที่เราไปอยู่เมืองนอก แล้วต้องมีส่วนร่วมในห้องเรียน พูดคุยเหมือนกับเราต้องกล้ามากขึ้น ถ้าไม่กล้าก็เรียนไม่ผ่าน เหมือนบังคับกลายๆ ซึ่งตอนเรียนที่เมืองไทยก็มีอยู่แล้ว แต่ก็มีแต่เพื่อนๆกัน ยังโอ.เค.อยู่ เมื่อต้องไปทำกับคนอื่น ใครก็ไม่รู้ ยิ่งทำงานด้วยก็ต้องสปีดตัวเอง มีปัญหา อุปสรรคอะไรในร้านเราก็ต้องแก้ไข เลยทำให้กล้ามากขึ้น กลับมาเมืองไทยก็เลยกล้าเดินไปแคสติ้งงานโฆษณาชิ้นแรก แล้วเกิดได้ ก็เลยกลายเป็นว่าชีวิตวนเวียนอยู่ในนี้ ตอนนี้ก็เกือบจะ ๒ ปีกว่าแล้วครับ"

ผลงานที่ชายหนุ่มกำลังตั้งอกตั้งใจทำอยู่ตอนนี้ เป็นอีกบทหนึ่งซึ่งจะมาท้าทายสายตาคนดูให้ได้พิสูจน์ให้รู้ว่า นอกเหนือจากการเป็นหนุ่มนักเรียนนอก เป็นนายแบบ เป็นพระเอกมิวสิคฯแล้ว เขาคนนี้มีความสามารถด้านใดที่น่าสนใจอยู่อีกบ้าง

"ตอนนี้ผมมีละคร เรื่อง 'หนุ่มห้าว สาวใส หัวใจปิ๊ง' ครับ ทางไอทีวี ประมาณบ่ายโมง วันเสาร์-อาทิตย์ แต่ที่ยังไม่ออกก็มีภาพยนตร์ เรื่อง 'โคลิค' นะครับ ประมาณกลางปีนี้น่าจะได้ดูตามโรงภาพยนตร์ครับ แล้วก็จะมีละครเวทีเรื่อง '๓ คู่ชู้ทั้งนั้น' เป็นละครเวทีเรื่องที่ ๒ ที่ได้เล่นครับ เรื่องแรกนั้นเป็นโอกาสและจังหวะ คือ ผู้ใหญ่เขาเปิดโอกาสให้ บอกว่ามีละครเวทีติดต่อเข้ามา ให้เข้าไปดูก่อนว่าสนใจไหม ก็เข้าไปนั่งดูละครเวทีเรื่องแรกในชีวิต 'กุหลาบสีเลือด' ก็รู้สึกตระการตา ด้วยสภาพบรรยากาศของเวที แสง ตัวแสดง ก็อยากไปอยู่ตรงนั้นเหมือนกัน แต่ก็คิดหนักเพราะตอนนั้น คิดว่าความสามารถยังไม่พร้อมถึงขนาดที่จะเล่นละครเวทีได้ แต่ผู้กำกับฯ คือ พี่ลิง-สมเกียรติ จันทร์พราหมณ์ ให้เตรียมตัวซักซ้อม ก็คิดว่าทำได้ในระดับหนึ่งแต่ก็ยังไม่ดีที่สุด แต่ก็ดีที่สุดที่เราทำได้ ได้ทำเวิร์คช็อปและได้ขึ้นเวทีกับพี่ๆ อย่าง พี่จิ๊ก-เนาวรัตน์ ยุกตระนันท์ พี่โย-ทัศวรรณ เสนีย์วงศ์ ณ อยุธยา เชอรี่-เข็มอัปสร สิริสุขะ นาเดีย-นาเดีย นิมิตรวานิช ซึ่งตอนแรกก็ประหม่าเหมือนกัน แต่เขาก็คอยให้กำลังใจ แล้วพอดีได้ พี่เซกิ โอเซกิ เป็นแรงบันดาลใจด้วย เพราะเคยได้ยินว่าเขาเล่นคู่กรรมมิวสิคัล ซึ่งเขาเป็นคนญี่ปุ่น พูดไทยไม่ได้ ไม่เข้าใจภาษาไทย แต่ร้องเพลงไทย เราก็คิดว่า เราก็คนไทย ภาษาก็ภาษาเรา ละครเวทีก็น่าจะได้นะ พี่เขาก็ให้กำลังใจตลอด รอบแรกๆยังดูแข็งๆเกร็งๆอยู่ แต่รอบหลังๆดูดีขึ้น มันเป็นข้อดีของละครเวทีที่ว่าเราได้สัมผัสมันอยู่เรื่อย ไม่เหมือนกับละครปกติ เพราะถ้าเล่นไม่ดีก็คือเทก ละครเวทีมันเล่นยาวตั้งแต่ต้นเรื่องจนจบเรื่อง แต่ว่าหลายๆรอบก็เลยทำให้เรา ได้รู้อะไรเพิ่มเติมครับ"


แม้จะก้าวเข้าสู่โลกละครโทรทัศน์อย่างเต็มตัวแล้ว แต่หลายครั้งเขานึกย้อนกลับไปถึงบรรยากาศการทำงานในบทบาทต่างๆที่เคยสัมผัสมา และนึกเปรียบเทียบพร้อมทำความเข้าใจว่า ผลงานชิ้นใหม่ๆของเขาจะดำเนินต่อไปได้อย่างราบรื่นขึ้นเรื่อยๆได้อย่างไร

"สำหรับละครหนุ่มห้าวฯ นี้ เป็นละครตอนยาวเรื่องแรกสำหรับผมนะครับ เป็นเรื่องแรกในชีวิตเลย แล้วลักษณะการทำงานก็จะต่างออกไปจากตอนถ่ายมิวสิคฯซึ่งใช้กล้องแค่ตัวเดียว แต่ละครใช้ ๓ ตัว ฉะนั้นเรื่องมุมกล้อง ที่เราจะเล่นช่วงแรกจะมีปัญหา เพราะยังไม่ชินที่ ปกติเราเล่นตัวเดียวแล้วตัดรับ จะเล่นความรู้สึกจริงตอนนั้นเลยก็ได้ แต่ว่ากล้อง ๓ ตัวต้องทิ้งช่วงไว้พักหนึ่งก่อน อันนี้ถือเป็นความยากสำหรับผม เพราะตอนแรกยังไม่ค่อยชิน แล้วก็เรื่องคาแร็คเตอร์ของตัวละคร ผมว่าไม่ค่อยทิ้งจากตัวผมเท่าไร หมายถึงว่ายังง่ายอยู่ที่เรายังไม่ต้องเปลี่ยนตัวเองไปเป็นตัวละครอีกตัวหนึ่งนะครับ ซึ่งผมว่าก็เป็นเรื่องที่ดีสำหรับผมเหมือนกัน เพราะว่าละครเรื่องแรก ถ้าห่างตัวมากอาจจะต้องทำการบ้านมากกว่าปกติครับส่วนละครเวทีนั้นจะใช้พลังมากกว่าในละครปกติ เพราะในเรื่องเสียง ท่าทาง คือ ละครเวทีคนดูอาจจะอยู่ไกลไงครับ เพราะฉะนั้นเราต้องส่งพลังให้ถึง ก็คืออยู่ที่เสียงและการที่เราอาจจะแสดงท่าทางให้เขารู้ว่าสื่อถึงอะไร แต่ละครอาจไม่ต้องถึงขนาดนั้น คือ พลังไม่ต้องเยอะมาก แต่ก็ต้องขอให้มีอินเนอร์ ขอให้ผู้แสดงสามารถสื่อสารได้เข้าใจ ตรงนั้นมากกว่าครับ จะว่าไปแล้วผมว่ายากคนละแบบนะครับ คือ พื้นฐานอาจจะใช้อินเนอร์เหมือนกันแต่ความแตกต่างของมันคือ เทคนิคและองค์ประกอบ ผมว่าทุกอย่างในงานละครยากสำหรับผมเลยละ เพราะผมไม่เคยมีพื้นมาก่อน อาศัยจากการที่ได้เรียนรู้และเวิร์คช็อปเอา ใครส่งไปเรียนอะไรก็ไป ไปร่วมงานอะไรที่ไหน เล่นอะไรก็ลองดู จะได้รู้ว่าตรงไหนเราควรปรับปรุง เรียนเพิ่ม ก็เก็บมาใช้ตรงนั้นมากกว่า ค่อยๆเก็บไป บางทีก็รู้ว่าอันไหนเป็นอุปสรรคของเรา ก็ใช้เวลาในการแก้ บางทีรู้แล้วว่าอันนี้คืออุปสรรค แต่อาจจะยังไม่สามารถแก้ได้ปุ๊ปปั๊บ ภายในชั่วข้ามคืน ก็พยายามปรับปรุงอยู่ตลอดเวลาครับ "

และแม้จะเข้าสู่วงการได้ไม่นานเท่าใดนัก แต่ก็ทำให้ชายหนุ่มขี้อายที่ปล่อยใจมาหลงรักอาชีพคนหน้ากล้องเสียแล้ว

"ตอนนี้ผมสนุกกับทุกงานที่ได้ทำครับ เพราะทุกงานไม่เหมือนกัน ด้วยบท สถานที่ เรื่องราวก็แตกต่างกันอยู่แล้ว เลยเหมือนเราได้สัมผัสอะไรที่แปลกใหม่ แม้บางครั้งจะใช้เวลาค่อนข้างนาน อย่างโฆษณาเวลาเราดูจะค่อนข้างสั้น ๓๐ วินาทีจบ แต่ใช้เวลาถ่าย ๓ วัน แรกๆอึ้งเหมือนกัน ไม่เคยเจองานขนาดนี้มีคนมารุมล้อม โอ้โฮ ทำไมคนเยอะจัง หลังๆก็รู้แล้วว่าต่างคนต่างมีหน้าที่ เราทำหน้าที่ของเราไป ทุกอย่างก็ลงตัว ผมว่างานแสดงมันสนุกตรงที่บางทีเราอาจไม่เคยไปสถานที่ใดที่หนึ่ง ก็ได้ไป แล้วบางอย่างที่ปกติอาจไม่ได้ทำ ก็ได้ทำ ในส่วนที่ไม่เคยทำ แต่ละอันก็ค่อนข้างจะแตกต่างกัน ไม่ว่าจะเป็นโฆษณาหรือเอ็มวี มันก็มีบางโฆษณาที่ถ่ายไปแล้วไม่ได้ออก อย่างเคยไปวิ่งแถวพัฒพงษ์ ถ่ายโฆษณาซึ่งชีวิตจริงคงไม่มีโอกาสได้ทำครับ ก็รู้สึกดีใจที่ได้ทำงานตรงนี้ครับ"

อย่างไรก็ตาม แม้จะเริ่มเป็นบุคคลที่มีชื่อเสียง ไปไหน มาไหน มีใครๆรู้จักมักคุ้นมากขึ้นกว่าเก่าที่เคยเป็นมา หนุ่มโสดในฝันก็ยังยืนยันว่าเขายังคงใช้ชีวิตเรียบง่าย ไม่ต่างไปจากเดิมเลย

"ผมเป็นคนง่ายมากเลยครับ ไม่ค่อยใช้ชีวิตหวือหวาเท่าไร ค่อนข้างเรียบง่าย บางทีก็ไม่ค่อยวางแผนอะไรเท่าไร อยากไปไหนก็ไป อยากทำอะไรก็ทำ คือ ชีวิตค่อนข้างจะเรื่อยๆมากกว่าครับ"

เป็นหนุ่มหล่อ พื้นฐานการศึกษาดี แถมเมื่อได้พูดคุยด้วยแล้วยังอาจประทับใจในอัธยาศัยน่ารักๆของเขาได้ง่ายๆ ย่อมไม่ใช่เรื่องแปลกที่ห้องหัวใจของชายหนุ่ม จะมีใครจับจองเป็นเจ้าของแล้ว

"ผมมีคนที่คบอยู่ตอนนี้ครับ ก็ดูๆกันอยู่ว่าเป็นอย่างไร เพราะด้วยปัจจัยหลายๆอย่างแล้ว ก็คิดว่าเป็นเวลาเหมาะที่ควรจะดูใครไว้สักคน แต่จะยื่นใบสมัครก็ได้นะครับ (หัวเราะ) คือ จริงๆแล้วผมเป็นคนไม่มีสเป็คนะครับ ขอแค่คุยกันรู้เรื่อง เข้าใจซึ่งกันและกัน และต้องมีการให้อภัย แต่การอภัยก็ต้องมีลิมิตนะไม่ใช่อะไรก็อภัย เพราะบางครั้งทำผิดซ้ำซาก แล้วให้อภัยบ่อยๆ จะกลายเป็นเสียนิสัย ก็คือขอให้เข้าใจกัน แล้วก็เข้ากับที่บ้านเราได้ เราเข้ากับบ้านเขาได้ เพราะว่าไม่ได้อยู่กันสองคน มีคนแวดล้อมด้วย มีเพื่อน มีครอบครัว นั่นคือองค์ประกอบหลายๆอย่าง ไม่เน้นรูปลักษณ์ภายนอก ขอให้ดูเป็นคนน่ารักพอ ด้วยนิสัย ให้ดูมีเสน่ห์พอแล้ว ผมคิดว่าความสวยมันไม่ยั่งยืนนะ แต่ความน่ารักมันติดตัวไปตลอด ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานขนาดไหน ดูอย่างไรก็ไม่เบื่อครับ"

แล้วเรื่องราวก็จบลงตรงเมื่อสิ้นเสียงของชายหนุ่ม หากเมื่อปลายเสียงของเขาสงบเงียบลงนั้น มีใครบางคนที่ร่วมรับฟังการสนทนาอยู่ด้วยกล่าวแสดงความคิดเห็นไว้ด้วยว่า หากไม่ใช่เพราะกล้าที่จะเปลี่ยนแปลงตัวเองและเดินหน้าเข้าหาโอกาสในวันนั้น เราก็คงไม่ได้รู้จักกับดาวดวงใหม่แห่งวงการบันเทิงดวงนี้เป็นแน่...

----------------------------------------------
ข้อมูลจาก
http://www.sakulthai.com/dsakulcolumnDetailsql.asp?stcolumnid=4814&stissueid=2698&stcolcatid=1&stauthorid=220
สกุลไทย ฉบับที่ 2698 ปีที่ 52 ประจำวัน อังคาร ที่ 4 กรกฎาคม 2549

------------------------------------------------

ไม่มีความคิดเห็น: